กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนระวังโรคอุจจาระร่วงช่วงหน้าหนาว เผยช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พบผู้ป่วย 210,906 ราย เสียชีวิตแล้ว 1 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
วันที่ 19 มกราคม 2557 มีรายงานว่า นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เผยว่า สธ. ได้เฝ้าระวังการเจ็บป่วยของประชาชนในช่วงหน้าหนาว พบว่า โรคอุจจาระร่วง เป็นโรคที่พบได้บ่อยทุกปี จากรายงานการเฝ้าระวังโรคอุจจาระร่วงทุกจังหวัด ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวที่ผ่านมา คือตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556-13 มกราคม 2557 พบผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงรวม 210,906 ราย เสียชีวิต 1 ราย โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป เนื่องจากมีภูมิต้านทานโรคต่ำกว่ากลุ่มอื่น และหากป่วยอาการจะรุนแรงกว่าวัยอื่น ๆ
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า สาเหตุของโรคอุจจาระร่วง เกิดจากเชื้อโรคทั้งแบคทีเรีย ไวรัส รวมทั้งเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารและน้ำดื่ม อยากย้ำเตือนประชาชนว่า อย่าชะล่าใจว่าอากาศเย็นแล้วอาหารจะไม่บูดเสีย เพราะความเย็นแค่ช่วยชะลอการเติบโตของเชื้อโรคในอาหารเท่านั้น ไม่ทำให้เชื้อโรคตาย ดังนั้น ขอให้เก็บอาหารเหลือค้างมื้อใส่ในตู้เย็นที่อุณหภูมิ -1 ถึง 8 องศาเซลเซียส และนำมาอุ่นให้เดือดก่อนรับประทานทุกครั้ง หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ ใช้ช้อนกลางตักอาหาร ล้างมือฟอกสบู่ก่อนรับประทานอาหารทุกครั้งและหลังการใช้ห้องน้ำห้องส้วม ถ่ายอุจจาระลงส้วมทุกครั้ง
ด้านนายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค เผยถึงการป้องกันโรคท้องร่วงในเด็กเล็กว่า นมผสมของเด็กที่เหลือจากการดูด ไม่ควรเก็บไว้เกิน 2 ชั่วโมงในห้องอุณหภูมิปกติ และไม่เกิน 4 ชั่วโมงในห้องแอร์ เพราะอุณหภูมินอกตู้เย็น เหมาะแก่การเพิ่มจำนวนเชื้อโรคที่มาจากปากและฟัน ส่วนนมแม่ หากยังไม่ได้กิน จะอยู่ในห้องแอร์ได้ 8 ชั่วโมง ไม่ควรนำนมไปวางทิ้งไว้ในที่อุ่นนม เพราะการเก็บนมไว้ในที่อุณหภูมิสูง จะทำให้เสียเร็วขึ้น อย่างไรก็ดี ควรเตรียมนมให้พอดีในแต่ละมื้อ ไม่ให้เหลือค้างขวด เพราะนมอุดมไปด้วยสารอาหารที่ทำให้เชื้อโรคเติบโตได้ดีจึงมีโอกาสบูดเสียได้ แนะนำให้เปลี่ยนขวดนม ขวดน้ำ และจุกนมทุกครั้ง ล้างทำความสะอาดและนึ่งฆ่าเชื้ออุปกรณ์ให้ดี เพราะการลวกน้ำร้อนไม่สะอาดเพียงพอ อาจทำให้เด็กท้องเสียได้ และให้หมั่นล้างมือให้เด็ก ทำความสะอาดของเล่นบ่อย ๆ
สำหรับการดูและผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงนั้น อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุว่า ควรรับประทานอาหารตามปกติ ไม่ควรงดอาหาร เพื่อให้มีสารอาหารที่จำเป็นไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆในร่างกาย แต่ควรเป็นอาหารอ่อน ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก แกงจืด และให้ดื่มผงน้ำตาลเกลือแร่แทนน้ำ หากอาการไม่ดีขึ้น ยังถ่ายบ่อย อาเจียน รับประทานอาหารไม่ได้ กระหายน้ำมากกว่าปกติ มีไข้สูง หรือถ่ายอุจจาระเป็นมูกปนเลือด ให้รีบพบแพทย์
ส่วนการดูแลในเด็กเล็ก ขอให้ป้อนอาหารเหลวบ่อย ๆ เช่น น้ำข้าวต้ม น้ำแกงจืด สามารถกินนมแม่ได้ตามปกติ ถ้าเด็กกินนมผสม ให้เจือจางนมผสมเหลือครึ่งหนึ่งของปกติที่เคยได้รับ จิบน้ำละลายผงน้ำตาลเกลือแร่บ่อย ๆ และให้อาหารที่ย่อยง่าย เช่นโจ๊ก ข้าวต้ม อาการเด็กจะค่อย ๆ ดีขึ้นเป็นปกติภายใน 8-12 ชั่วโมง หากอาการไม่ดีขึ้น เช่น ถ่ายเหลวไม่หยุด เด็กซึมลง ปากแห้งมาก ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม ให้พาเด็กไปพบแพทย์โดยเร็ว
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น